ไก่นึ่งแฮม

                            ไก่นึ่งแฮม
เครื่องปรุง 
 ไก่หนักขนาด 1.2 กิโลกรัม   1  ตัว
 แฮมสุก                                    2  ขีด 
 ผักคะน้า หรือผักใบเขียวอื่น ๆ  3  ขีด
ต้นหอม                                     3  ต้น
ขิง                                             3  แว่น
แป้งข้าวโพด                             1  ช้อนชา
เหล้าเชอร์รี่                               1  ช้อนชา
เกลือป่น                                    1  ช้อนชา
ซีอิ๊ว                                          1  ช้อนชา
น้ำตาลทราย                             1  ช้อนชา

การเตรียม
1. ล้างทำความสะอาดไก่ ซับน้ำให้แห้ง

2. ต้นหอมและขิงหั่นเป็นเส้นฝอย นำมาถูให้ทั่วตัวไก่ทั้งข้างนอกและข้างใน ใส่จานพักไว้

3. คะน้าเลือกใช้เฉพาะยอดและใบอ่อน

วิธีปรุง
1. นึ่งไก่เป็นเวลา 15-20 นาที พักไว้ให้เย็นแล้ว เลาะกระดูกไก่ออก พักไว้ เก็บน้ำนึ่งไก่ไว้

2. สับเนื้อไก่เป็นชิ้นขนาด 1 x 1.5 นิ้ว จัดวางไว้ในจานเสิร์ฟ ตบแต่งเป็นรูปไก่ดังภาพ

3. หั่นแฮมเป็นชิ้นบาง ๆ ขนาดเดียวกับไก่ นำไปวางสลับกับชิ้นไก่ที่จัดแต่งไว้ในจาน

4. ลวกคะน้าในน้ำเดือด นำไปแต่งรอบ ๆ ชิ้นไก่

5. ต้มน้ำนึ่งไก่ ปรุงรสด้วยเหล้าเชอร์รี่ น้ำตาลทราย เกลือป่น และซีอิ๊วเพื่อให้มีสีน้ำตาล แล้วใส่แป้งข้าวโพดละลายน้ำเพื่อให้ข้น แล้วนำไปราดบนชิ้นไก่ เสิร์ฟ

ทีมา.. http://app.tisi.go.th/

ขนุนมีคุณประโยทช์มากมาย

                         ขนุน มีคุณประโยทช์มากมาย

ขนุน
 ขนุน เป็นไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10 - 15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า "ส่า" มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม การออกดอก จะออกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคม  ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่
ส่วนที่ใช้ :  ยวง เมล็ด แก่นของขนุน ส่าแห้งของขนุน ใบ

***คุณประโยทช์มากมายของขนุน***
ยวงและเมล็ด - รับประทานเป็นอาหาร
แก่นของขนุน - ต้มย้อมผ้าให้สีน้ำตาลแก่
ส่าแห้งของขนุน - ใช้ทำชุดจุดไฟได้
แก่นขนุนหนังหรือขนุนละมุด - มีรสหวานชุ่มขม บำรุงกำลังและโลหิต ทำให้เลือดเย็น สมาน
ใบขนุนละมุด - เผาให้เป็นถ่านผสมกับน้ำปูนใสหยอดหู แก้ปวดหู และหูเป็นน้ำหนวก
ไส้ในของขนุนละมุด - รับประทานแก้ตกเลือดทางทวารเบาของสตรีที่มากไปให้หยุดได้
แก่นและเนื้อไม้ - รับประทานแก้กามโรค

กระเจี๊ยบแดง ลดไขมันในเลือดได้จริงหรือ

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง



            น้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์ผึ้ง ประโยชน์ของน้ำผึ้ง  


เกสรผึ้ง 
1.เกสรผึ้ง 
         คือ  ละอองเกสร  (pollen)  ของพืชหรือเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของพืชที่ผึ้งเก็บจากดอกไม้  ด้วยการใช้ขาคู่หน้าตะกุยละอองเกสรให้ติดที่ขนบริเวณส่วนอกและท้อง  แล้วใช้ขาคู่กลางรวบรวมเกสรเป็นก้อนใส่ไว้ที่ตะกร้าเก็บเกสรที่อยู่บนขาคู่หลังของผึ้ง  เพื่อที่จะนำกลับเข้ารังไปเลี้ยงตัวอ่อนผึ้ง และเก็บสะสมไว้ในหลอดรวงเพื่อเป็นแหล่งอาหารสำรองของผึ้งใช้ในผึ้งที่ขาดแคลนเกสรก่อนที่ผึ้งจะเก็บเกสรไว้ในหลอดรวงจะผ่านขบวนการย่อยและการตระเตรียมเพื่อการเก็บในระยะยาว  โดยผึ้งจะเติมกรดเอนไซส์และน้ำผึ้งเคลือบเกสร  หลังจากนั้นผึ้งจะอัดเกสรไว้ในหลอดรวง  เกสรผึ้งที่ผู้เลี้ยงผึ้งเก็บจากรังผึ้ง  จะเป็นเกสรที่ดักเก็บจากขาผึ้งด้วยกับดักเกสร  เกสรที่ดักได้จะถูกนำเข้าตู้อบเพื่อให้เกสรแห้ง
ประโยชน์ของเกสรผึ้ง
                ทางอาหาร เกสรผึ้งเป็นอาหารที่ย่อยสลายง่าย และยังมีคุณค่าต่อการฟื้นฟูความสมดุลของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรงและกะปรี้กะเปร่า    ทางสมุนไพร เกสรผึ้งสามารถบำบัดบรรเทาโรคเหล่านี้ได้ เช่น ภูมิแพ้อากาศและฝุ่นละออง โพรงจมูกอักเสบหรือไซนัส ไข้หวัดใหญ่ หืดหอบ ต่อมลูกหมากอักเสบ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน รวมไปถึงชะลอการตกกระของผิวหนัง บรรเทาอาการกระวนกระวายในสตรีวัยหมดประจำเดือน และอาการนอนไม่หลับ เป็นต้น     ทางบำรุงและเสริมสร้าง เกสรผึ้งยังเป็นสารช่วยบำรุงให้ดีขึ้น คือ ทำให้มีความทรงจำและสมาธิดีขึ้น 



2.   พรอพอลิส
        คือ สารเหนียวหรือยางเหนียวๆ ที่ผึ้งงานเก็บมาจากตาหรือเปลือกของต้นไม้เพื่อใช้ปิดรอยโหว่ของรัง และห่อหุ้มศัต รูที่ถูกฆ่าตายในรังแต่ไม่สามารถนำออกไปทิ้งนอกรังได้ และเพื่อไม่ได้เกิดการเน่าเหม็นในรังผึ้ง ชาวกรีกตั้งชื่ อสารนี้ว่า "propolis" ซึ้งมาจากคำว่า "pro" หมายถึง "ก่อน" และ "polis" หมายถึง "เมือง" ซึ่งในสมัยนั้นกรีกเองก็สันนิษฐานว่า ผึ้งคงจะใช้พรอพอลิสสำหรับป้องกัน " เมือง" หรือรังของตนเองให้พ้นจากเชื้อโรคและศัตรูต่าง ๆ ไม่ให้บุกรุกเข้ามา   พรอพอลิสมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ ยางไม้ร้อยละ 45 ไขมันร้อยละ 30 น้ำมันร้อยละ 10 และเกสรดอกไม้ร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังประกอบด้วยวิตามินบี
ประโยชน์ของพรอพอลิส
           ช่วยในการรักษาบาดแผล โรคผิวหนังและโรคเน่าเปื่อยบางอย่างของวัวควาย มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส และเนื่องจากคุณสมบัติของพรอพอลิสที่เป็นการฆ่าเชื้อโรคนี้เองจึงมีการนำพรอพอลิสมาเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน และหมากฝรั่ง เป็นต้น พรอพอลิสพบในรังผึ้งโพรงฝรั่งเท่านั้น ผึ้งโพรงไทยไม่มีพรอพอลิส



3.  นมผึ้ง หรือรอยัลเยลลี (rayal jelly)
     ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า นมผึ้ง เป็นอาหารของผึ้งตัวอ่อนและผึ้งนางพญา ผลิตโดยผึ้งงานที่มีอายุประมาณ 5-15 วัน คือ ผึ้งงานวัยที่มีหน้าที่เลี้ยงดูตัวอ่อนจะผลิตอาหารพิเศษนี้จากต่อมไฮโพฟาริงจ์ (hypopharyngeal gland) ที่อยู่ติดกับต่อมน้ำลายในบริเวณส่วนหัวของผึ้งงาน ต่อมนี้จะทำหน้าที่ผลิตรอยัลเยลลีและผึ้งงานจะคายรอยัลเยล ลีออกจากปากใส่ลงในหลอดรวงตัวอ่อน (brood cells) นอกจากนั้นผึ้งงานจะใช้รอยยัลเยลลีป้อนให้กับผึ้งนางพญาด้วย
รอยัลเยลลีมีลักษณะสีขาวคล้ายครีมหรือนมข้นหวาน มีกลิ่นออกเปรี้ยวและรสค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย ผึ้งงานจะนำรอยัลเยลลีที่ผลิตขึ้นมาได้นี้ไปเลี้ยงตัวอ่อนของผึ้งทุกวรรณะตั้งแต่แรกเกิดจนมีอายุครบ 3 วัน เฉพาะตัวอ่อนที่จะเจริญไปเป็นผึ้งนางพญาเท่านั้นที่จะได้รับรอยัลเยลลีจำนวนมากและได้รับต่อไปจนตลอดชีวิต จึงเรียกอาหารนี้ว่าเป็นอาหารราชินีหรืออาหารนางพญา (royal jelly) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผึ้งนางพญามีขนาดโต

กว่าผึ้งวรรณะอื่น ๆ และมีข้อแตกต่างหลายประการที่ต่างไปจากผึ้งงานทั่วๆ ไปภายในรัง
 ปัจจุบันได้มีการนำเอารอยัลเยลลีมาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ทางอาหารและเครื่องสำอาง ซึ่งนิยมใช้กันทั่วไปในรูป ครีมทาหน้า แชมพู และรับประทานเป็นอาหารเสริมกันมากขึ้น แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าน้ำผึ้ง   


น้ำผึ้ง  (honey)

4.  น้ำผึ้ง  (honey) 
                 
น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ หรือต้นไม้ ที่ผ่านขบวนการย่อยภายในตัวผึ้งแปรสภาพน้ำหวานให้กลายเป็นน้ำผึ้ง ขณะกำลังบินกลับรังแล้วคายออกมาเก็บไว้ในหลอดรวง ผ่านการระหายน้ำโดยผึ้งช่วยกันกระพือปีกไล่ความชื้น จนน้ำผึ้งในหลอดรวงนั้นมีความชื้นน้อยกว่า 20% จึงปิดฝาหลอดรวง  จัดเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน

องค์ประกอบในน้ำผึ้ง 
      น้ำผึ้ง  เป็นกลุ่มสารที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งอาหารและยา เพราะน้ำผึ้งจะถูกนำมาผสมลงในตัวยาสมุนไพร เพื่อให้เกิดรสหวาน ง่ายต่อการรับประทาน รวมทั้งชักนำให้ยานั้นมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ดีขึ้น
      องค์ประกอบในน้ำผึ้งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตาลประมาณ 79% เป็นน้ำตาลโมเลกุลเชิงเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องผ่านการย่อยในกระเพาะอาหาร  นอกจากนั้นก็จะประกอบไปด้วย น้ำประมาณ 20% กรดชนิดต่าง  ๆ 0.5 % และอีก 0.5% จะเป็นโปรตีน  วิตามิน เกลือแร่ เอนไซม์ พอสรุปได้  ดังนี้
1. น้ำ หรือความชั้น น้ำผึ้งที่ดีควรมีความชื้น 18-20% เพราะจะทำให้เก็บไว้ได้นานไม่บูดเสียง่าย
2.น้ำตาล มีไม่ต่ำกว่า 17 ชนิด เช่น fructose glucose maltose levulose เป็นต้น น้ำผึ้งจึงถูดจัดเป็น
   อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง
3. กรด ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ กรด gluconic นอกจากนี้ยังมีกรดอมิโน ถึง 16 ชนิด
 กรดเกลือ และกรดกำมะถันรวมอยู่
4. แร่ธาตุ ได้แก่ K CI S Ca P Mg Si Fe Mn Cu  ถึงจะมีปริมาณไม่มากนัก แต่ก็ยังอยู่ในสัดส่วนที่
   เหมาะสมประมาณ 0.02-1%
5. เอนไซม์ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาที่มีประโยชน์ต่าง ๆ เช่น
 - glucose oxidase เปลี่ยน glucose ไปเป็น Gluconic acid และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
 - nvertase ช่วยย่อยน้ำตาล sucrose ไปเป็น decrose และ Levulose แต่เอนไซม์ชนิดนี้จะสลายตัว เมื่อได้รับความร้อนที่มากกว่า 58-59 องศาเซลเซียล นาน 10 ชั่วโมง 
 - diastase ช่วยย่อยแป้งไปเป็นน้ำตาล แต่เนื่องจากไม่มีแป้งอยู่ในน้ำหวานของดอกไม้ ทำให้ไม่ต้องใช้
   enzyme ตัวนี้ เป็นเพียงตัวบ่งชี้ให้รู้ว่าในน้ำผึ้งมี diastase มากน้อยเพียงใด
 - vitamin ที่พบมีหลายชนิด เช่น thiamin (B1) Riboflavin(B2)  Ascorbic acid (C) Pyridoxine (B6) Vitamin B complex แตกต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ในน้ำผึ้ง
 - โปรตีนและกรดอมิโน

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง  
       น้ำผึ้งถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในรูปแบบของการบริโภคสด หรือการนำมาเป็นส่วนประกอบของสินค้าในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ เช่นยาแผนโบราณ เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม รวมทั้งการนำมาใช้สมานแผลในวงการแพทย์ปัจจุบัน นอกเหนือจากการยอมรับว่าเป็นสารที่ให้ประโยชน์ในวงการแพทย์ คือ ความสามารถในการทำลายหรือยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีเพราะคุณลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ ของน้ำผึ้ง ได้แก่
1.   มีความเข้มข้นสูง ทำให้มีความสามารถในการดูดซับน้ำหรือ ดึงน้ำออกจากเซลของแบคทีเรียได้สูงมาก (hyperosmosis)
2.   มีความเป็นกรด หรือ PH เฉลี่ย 3.9 ซึ่งเพียงพอต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้
3.   มีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากปฏิกิริยาของเอนไซม์ glucose oxidase

น้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งป่า กับ น้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งเลี้ยง

           ตลาดน้ำผึ้งในประเทศไทย จะมีน้ำผึ้ง 2 ประเภท คือ น้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติ หรือน้ำผึ้งป่า กับน้ำผึ้งที่ได้จากการเลี้ยงผึ้ง  ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ ถึงคุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้งแต่ละชนิด แต่มีรายงานของ ดร.ไมเคิลเบอรเกตต์ จากอเมริกา ที่เก็บตัวอย่างน้ำผึ้ง จากทั่วโลกของผึ้งทุกชนิด ซึ่งมีตัวอย่างของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย พบว่าไม่มีความแตกต่าง ทั้งในด้านองค์ประกอบทางเคมีและคุณค่าทางอาหาร
ในประเทศไทย  โดยสมนึก บุญเกิด (2544)  รายงานผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งเลี้ยงและจากผึ้งในธรรมชาติว่า ไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด จึงน่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า น้ำผึ้งป่าไม่ได้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าหรือแตกต่างไปจากน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งเลี้ยงแต่อย่างใด

   คุณลักษณะเฉพาะของน้ำผึ้ง
           น้ำผึ้งที่ได้จากพืชต่างชนิดกัน จะมีความแตกต่างในเรื่องทางกายภาพ ได้แก่ สี กลิ่น และรสชาติ  และจะมีคุณลักษณะเฉพาะอย่างที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น
           น้ำผึ้งตกผลึก น้ำผึ้งจากพืชบางชนิด สามารถตกผลึกได้ดี เช่น น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ และดอกทานตะวันซึ่งมีลักษณะเฉพาะ เนื่องจากการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวมาเป็นของแข็ง เป็นผลึกมีรูปร่างเป็นแท่งแหลมเปราะบาง เพราะมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสในน้ำผึ้งสูงกว่าน้ำตาลฟรุกโตส ผลึกดังกล่าวจะมีสีเดียวกลมกลืนไปทั้งขวด ไม่แยกชั้น ทั้งนี้ลักษณะการตกผลึกจะหายไปทันที เมื่อนำไปอุ่นที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส ภายใน  5  นาที ต่างจากน้ำผึ้งตกตะกอน ซึ่งเกิดจากการปลอมปนน้ำตาลทราย ผลึกจะมีสีน้ำตาลเข้ม แตกต่างจากส่วนที่เป็นของเหลวอย่างเห็นได้ชัด
          การเปลี่ยนสี  น้ำผึ้งเมื่อเก็บไว้ระยะเวลาหนึ่งจะเกิดการเปลี่ยนสี หรือมีสีเข้มขึ้น เพราะ
ปฏิกิริยาการสลายน้ำตาลฟรุกโตส   เกิดสาร HMF (hydroxyl methyl furfural) โดยที่น้ำผึ้งนั้นยังคงนำมาบริโภคได้ เพียงแต่สีไม่น่ารับประทานเท่านั้น น้ำผึ้งแต่ละชนิด จะเปลี่ยนสีเร็วหรือช้าต่างกัน ทั้ง ๆ ที่เก็บไว้ในสถานที่เดียวกัน เช่นน้ำผึ้งจากดอกลำไย และมะพร้าว จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มจนถึงดำได้เร็วกว่า น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ นุ่น งาน เป็นต้น
          น้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุในน้ำผึ้งมากกว่าน้ำผึ้งสีจาง เช่น Fe Ca Mg Na P Mn Cu เป็นต้น แร่ธาตุเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย


ลักษณะของน้ำผึ้งแท้
       น้ำผึ้งแท้หรือน้ำผึ้งที่ดี ควรมีกลิ่นหอมของเกสรดอกไม้ตามชนิดที่ระบุไว้บนสลากข้างขวด แต่ถ้าไม่สามารถเปิดขวดดมกลิ่นหรือไม่มีตัวอย่างให้ลองชิม ก็ควรพิจารณาคุณสมบัติข้ออื่น ตัวอย่าง เช่น
1.  มีความสะอาด ไม่มีเศษละอองเกสร เศษตัวอ่อน ดักแด้ปะปนอยู่
2.  มีสีอ่อนใสตามธรรมชาติ ไม่แยกชั้น มีสีเดียวกลมกลืนไปทั้งหมด
3.  มีความหนืด หรือมีความเข้มข้น
4.  สลากข้างขวด ควรมีรายละเอียดแสดง น้ำหนักสุทธิเครื่องหมายการค้า วันที่ผลิต
     วันหมดอายุ สถานที่ผลิต  ชื่อผู้ผลิต เครื่องหมายรับรองคุณภาพจากหน่วยงานราชการ
     ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

การเก็บรักษาน้ำผึ้ง
       น้ำผึ้งที่ดีจะมีความชั้นไม่เกิน 20% สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นาน แต่ยิ่งเก็บนานเท่าไหร่ เอนไซม์และกรดในน้ำผึ้งจะลดลง ในขณะที่ hydroxyl methyl furfural เพิ่มขึ้น ทำให้น้ำผึ้งมีสีเข้มขึ้น

1.  น้ำผึ้งที่มีความชื้นสูงควรบริโภคให้หมดภายใน 1- 2 เดือน
2.  ควรเก็บน้ำผึ้งในที่เย็น และไม่โดนแสงแดด แต่ไม่ต้องเก็บในตู้เย็น
3.  น้ำผึ้งที่เก็บไว้นานจะมีสีเข้ม เพราะปฏิกิริยา การสลายของน้ำตาลฟรุกโตส ยังสามารถนำมาบริโภคได้แต่ไม่ควรเก็บนานเกิน 2 ปี

 ไขผึ้ง  (beeswax) 

5. ไขผึ้ง  (beeswax) 
           ไขผึ้ง  คือ  สารคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งเป็นไขที่ผลิตขึ้นมาจากต่อมไขผึ้ง  (wax glands) 4  คู่  อยู่ที่ปล้องท้องของผึ้งงาน  ปล้องที่  4-7  ต่อมเหล่านี้  ได้สังเคราะห์น้ำตาลที่มีโมเลกุลเชิงเดี่ยวให้ต่อกันยาวขึ้นเป็นโมเลกุลของไขผึ้ง  ไขผึ้ง  1  กก.  ผึ้งต้องกินน้ำตาลประมาณ  8.4  กก.  ผึ้งใช้ขาเขี่ยไขจากต่อมไขผึ้งมาที่ส่วนของปาก  ผึ้งจะใช้กัดก้อนไขผึ้งเป็นแผ่นบาง ๆ ก่อเป็นหลอดรวงรูป 6 เหลี่ยม  สร้างหลอดรวงแต่ละหลอดต่อกันไปจนกลายเป็นรวงผึ้งในที่สุด
          ประโยชน์ของไขผึ้ง  อุตสาหกรรมที่ใช้ไขผึ้งมาก  คือ  อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง  ในสูตรผสมของครีมต่าง ๆ โลชั่น  น้ำมันแต่งผม  ลิปสติกและรูธ  อุตสาหกรรมที่ใช้ไขผึ้งรองลงมา  คือ  อุตสาหกรรมเทียนไข  อุตสาหกรรมที่ใช้เป็นอันดับสาม  คือ  อุตสาหกรรมผลิตแผ่นรังเทียมที่ใช้ในการเลี้ยงผึ้ง  และไขผึ้งถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ เช่น  งานเภสัชกรรม  งานทันตแพทย์  งานหล่อแบบต่าง ๆ  ไขผึ้งถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของพวกวัสดุกันน้ำ
ยาขัดมันพื้น  เฟอร์นิเจอร์  เครื่องหนัง  และเลนส์กล้องส่องทางไกล

เห็ดทรัฟเฟิล



เห็ดทรัฟเฟิล "truffle"
เห็ดทรัฟเฟิลเป็นเห็ดที่มีราคาแพงที่สุด โตใต้ดิน เมื่อโตเต็มที่จะมีกลิ่นเฉพาะที่แรง จึงนิยมใช้หมูและหมาที่ถูกฝึกมาเพื่อหาเห็ดทรัฟเฟิล

เห็ดทรัฟเฟิลขาว (White truffle) มีกลิ่นหอมมาก พบแถบป่าตอนเหนือของอิตาลี และโครเอเชีย

ทรัฟเฟิลดำ (ฺBlack Truffle) : เห็ดทรัฟเฟิลดำ พบที่เมือง Périgord ในฝรั่งเศสช่วงปลายฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตรน้ำหนักคร่าวๆประมาณ 100 กรัม ราคาตกที่กิโลกรัมละ 20,000 - 60,000 บาท

โดยปกติแล้วเห็ดทรัฟเฟิลจะมีราคาซื้อขายในกรุงโรมของอิตาลีในราคากิโลกรัมละ 11,155 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 380,000 บาท แต่โดยทั่วไปเห็ดทรัฟเฟิลจะมีน้ำหนักเพียง 30-80 กรัม
ในทุกปีมีการจัดงานประมูลเห็ด"ทรัฟเฟิล" นานาชาติ ในปี 2008 ประมูลกันไปในราคา 200,000 USD น้ำหนัก 1.080 กิโลกรัม จัดเป็นเเห็ดทรัฟเฟิลขาวที่ราคาแพงที่สุดในโลก

เห็ดทรัฟเฟิลดำทรัฟเฟิล คือส่วนดอกของเห็ดที่อาศัยอยู่ใต้ดินซึ่งถือได้ว่าเป็นเห็ดที่แพงมาก ต้นกำเนิดการกินเห็ดทรัฟเฟิลนี้มาจากประเทศฝรั่งเศสโดยใช้กลิ่นเป็นตัวนำ (นิยมกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว สันนิฐานว่าคนที่นี่ชอบกลิ่นมาก่อนเหมือนกับไวน์ที่กลิ่นต้องดี รสชาติจะดีตามไปด้วย... มั้ง) จัดว่าเป็นเห็ดที่แพงที่สุดในโลกสำหรับเห็ดที่ใช้ในการผสมอาหาร

คาแร็คเตอร์ของทรัฟเฟิลเป็นเห็ดที่มีกลิ่นรุนแรงมาก หลักๆจะเป็นการให้กลิ่นหอมของดิน ถ้าเทียบกับสิ่งที่เราเคยพบก็คือดินโป่ง, ดินขาว และเห็ดฟางสด บางคนว่ากลิ่นเหมือนแก๊สรั่วก็มี(ไม่ใช่แก๊สไข่เน่านะ) ดังนั้นการผสมใส่ในอาหารอะไรก็ตามใช้นิดเดียวก็พอแล้ว ไม่มีใครนิยมกินเป็นดอกๆนอกจากรวยมากแล้วไม่มีอะไรทำ (เพราะทรัฟเฟิลเขาใช้แค่เป็นส่วนในการเพิ่มกลิ่นเท่านั้นเอง) สำหรับคนไทยส่วนใหญ่คงไม่อาจจะติดอกติดใจเท่าไร ข้อมูลจากผู้ที่เคยทานเห็ดทรัฟเฟิลมาจ๊ะ

เห็ดทรัฟเฟิลขาวหั่นกลางการฝึกสุนัขเพื่อดมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลทรัฟเฟิลขาว (White Truffle) : ทรัฟเฟิลขาวเป็นทรัฟเฟิลที่แพงที่สุด ทรัฟเฟิลที่แพงที่สุดเลยคือทรัฟเฟิลขาวจากประเทศอิตาลี จากรัฐเพียดมองต์(Piedmont)เจริญเติบโตอยู่กับต้นโอ๊ค, ต้นบีช, ป๊อบปล่าร์ พบในในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 500 กรัม สนนราคาั่ก็ปาไป กิโลกรัมละ 50,000 - 150,000 บาท

 ส่วนน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลนั้นหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าทำมาจากเห็ดทรัฟเฟิลซึ่งแท้จริงแล้วน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลนั้นคือน้ำมันมะกอกที่เรารู้จักนี่เอง แต่นำมาสังเคราะห์ให้ได้กลิ่นเทียบเคียงกับทรัฟเฟิลให้มากที่สุด ประมาณว่าไม่ได้กินได้กลิ่นก็ยังดี ปล. มี 2 แบบ คือผสมด้วยเห็ดทรัฟเฟิล และสังเคราะห์ขึ้นเองซึ่งแบ่งไปตามเกรดจ๊ะ

ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเห็ดทรัฟเฟิลอาจจะเป็นเห็ดธรรมดาที่ใครก็สามารถเอื้อมถึงก็ได้เพราะตอนนี้ที่จีนเขาก็ผลิตกันเป็นล่ำเป็นสัน สร้างรายได้มากมายเข้าประเทศเขาไปแล้ว ไทยเราเองก็ริเริ่มกระบวนการเพาะเห็ดทรัฟเฟิลกับเขาบ้างแล้วซึ่งก็หวังว่าอาชีพนี้จะช่วยให้เกษตรกรผู้เพาะเห็ดลืมตาอ้าปากได้จ๊ะ

วิธีขุดเห็ดทรัฟเฟิลจะใช้เสียมอันเล็กๆ ค่อยๆ ขุดเบาๆ ไปเรื่อยๆ ราวกับขุดวัตถุโบราณ


การเพราะถั่วงอก

           เทคนิคเพาะถั่วงอก การเพราะถั่วงอก การเพราะถั่วงอกขาย มีรายได้สร้างงานมีกำไร

ถั่วงอก
 เงินลงทุน
ประมาณ 1,500 บาท

รายได้
1,400 บาท/175 กิโลกรัม

วัสดุ/อุปกรณ์
โอ่งน้ำ 5 ใบ กระสอบข้าวสาร อ่างล้างถั่วงอก สายยาง เมล็ดถั่วเขียว
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์
เมล็ดถั่วเขียว หาซื้อได้ตามร้านค้าเมล็ดพันธุ์ไม้ทั่วไป


ขั้นตอน/วิธีทำ
1. นำโอ่งน้ำ หรือโอ่งลายมังกร ขนาดกลาง 5 ใบ มาเจาะรูที่ก้นโอ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร จำนวน 5 รูต่อใบ เพื่อให้น้ำไหลออก

2. นำเมล็ดถั่วเขียวน้ำหนัก 15 กิโลกรัม แช่ในน้ำสะอาด 1 วัน เมื่อแช่น้ำจนได้ที่แล้วให้ล้างเมล็ดถั่วเขียวให้สะอาด พร้อมกับช้อนเมล็ดถั่วที่ลอยน้ำทิ้ง เพราะเป็นเมล็ดเสียเพาะพันธุ์ไม่ได้

3. จากนั้นนำมาเทลงในโอ่ง ๆ ละ 3 กิโลกรัม จำนวน 5 โอ่ง ปิดทับด้วยกระสอบข้าวสาร ใช้ระยะเวลาในการเพาะเลี้ยง 3 วัน โดยในแต่ละวันต้องรดน้ำวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เมื่อครบ 3 วัน แล้วจะได้ถั่วงอกมีความยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ได้น้ำหนัก 35-38 กิโลกรัม/1 โอ่ง รวม 5 โอ่ง จะได้ถั่วงอกประมาณ 175 กิโลกรัม ต่อเมล็ดถั่วเขียว 15 กิโลกรัม

ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ขายส่งแม่ค้าตลาดสด หรือนำไปขายเองในตลาดสด

สถานที่ฝึกอบรม
สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร. 579-2294, 942-8460 ต่อ 219-222

ข้อแนะนำ
1. เมล็ดพันธุ์ควรเป็นเมล็ดถั่วเขียวผิวมันหรือถั่วเขียวสีดำ

2. การเพาะถั่วงอกในช่วงฤดูหนาว จะต้องเพิ่มระยะเวลาในการเพาะเป็น 4 วัน เพราะในช่วงฤดูหนาวพืชเติบโตช้า

3. หากมีเงินทุนและเพาะถั่วงอกจำนวนมาก ควรซื้อเครื่องปั้มน้ำ พร้อมสายยาง ถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มอีก ประมาณ 20,000 บาท

4. วิธีรดน้ำควรที่จะมีตะแกรงพลาสติกรองรับแรงดันน้ำที่ไหลมาตามสายยางเพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันน้ำเซาะถั่วงอกแตกกระจาย ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของถั่วงอก และทำให้ถั่วงอกมีลักษณะหงิกงอ เสียรูปทรงได้

ที่มา : ส่งเสริมการมีงานทำ , กอง กรมการจัดหางานกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม,"เพาะถั่วงอก," 150 อาชีพเส้นทางประกอบอาชีพอิสระ . กรุงเทพฯ , 2544 , หน้า 248.
ลิ้งค์อื่น ๆ เพิ่มเติม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
http://www.poompanyathai.com/
บริการให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเพาะถั่วงอกเชิงพานิชย์

ความหมายและความสำคัญของถั่วงอก
ถั่วงอก คือ ผักชนิดหนึ่งซึ่งเป็นผักที่ยังเป็นต้นอ่อนที่เพิ่งโผล่พ้นเมล็ดโดยอาศัยธาตุอาหารต่าง ๆ ที่ถูกสะสมไว้ในเมล็ดเพื่อที่จะเติบโตเป็นต้นถั่ว แต่เมื่อนำเมล็ดถั่วมาเพาะในสภาพที่เหมาะสมโดยไม่ให้โดนแสงแดด ใบเลี้ยงกับรากของต้นถั่วจึงยังไม่โผล่เป็นต้นกล้ายังเป็นแค่หน่ออ่อนของถั่ว เราจึงเรียกว่า ถั่วงอก

คุณค่าทางโภชนาการของถั่วงอก
ถั่วงอกเป็นผักที่ให้คุณค่าทางอาหารหลายอย่างทั้งโปรตีน เกลือแร่และวิตามิน จากการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของถั่วงอก (ถั่วเขียวงอก) โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่ของถั่วงอกมีสารอาหารเหล่านี้
1. น้ำ
2. โปรตีน
3. แคลเซียม
4. ฟอสฟอรัส
5. วิตามินบี 1 บี 2
นอกจากคุณค่าทางอาหารที่กล่าวมาแล้ว ถั่วงอกยังมีกากใยอาหารหรือไฟเบอร์เหมือนกับผักผลไม้ทั่วไป โดยมีอยู่ในระดับปานกลาง

การใช้ประโยชน์จากถั่วงอก
ถั่วงอก เป็นพืชผักที่มีบทบาทในอาหารประจำวันของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน จึงพบเห็นถั่วงอกมีขายในตลาดสดเคียงคู่กับผักชนิดอื่นตลอดเวลา และถั่วงอกใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด จะเห็นได้ว่าถั่วงอกเป็นทั้งองค์ประกอบหลักในการปรุงอาหารและเป็นองค์ประกอบรองในการปรุงอาหารโดยใช้เป็นเครื่องเคียงในอาหารต่าง ๆ ในอาหารบางชนิดจะขาดถั่วงอกไม่ได้ ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากถั่วงอกในการประกอบอาหารจึงมีมากมาย โดยจะพบเห็นถั่วงอกในอาหาร ดังนี้

อาหารที่ประกอบด้วยถั่วงอก
ถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ถั่วงอกผัดกับเลือดหมู
ผัดผักมังสวิรัติ แกงจืดถั่วงอกกับหมูสับ
แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวหมูแดง
ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
ก๋วยเตี๋ยวหลอดเกาเหลาทุกชนิด
หมี่กะทิ หมี่ซั่วผัด
ปอเปี๊ยะ ขนมหัวผักกาด



ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นญี่ปุ่น



สูตรการทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นญี่ปุ่น  วิธีทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นญี่ปุ่น

เนื้อตุ๋นญี่ปุ่น
 เครื่องปรุง
1. เนื้อ 3 ชั้นหนาท้องวัว        5   ก.ก.
2. ผงพะโล้                         2   ช้อนโต๊ะ
3.พริกไทยเม็ด                    1   ช้อนโต๊ะ
4. อบเชย                           5   ชิ้น
5.ซีอิ๊วขาว                          3   ทับพี
6.โป๊ยกั๊ก                           4   ดอก
7.ชวนเจีย                          1   ช้อนโต๊ะ
8.ชอสถั่วเหลือง                  3   ทับพี
9.น้ำตาลกรวด                    1    ขีด
10.กระดูกวัว                      2    ก.ก.


วิธีทำ
1. นำเครื่องปรุงทั้งหมดใส่หม้อเติมน้ำให้ข้อนปากหม้อ ตั้งไฟให้เดือดใส่เนื้อลงไปแล้วต้มเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ 2 ชั่วโมง
2.เมื่อเนื้อ 3 ชั้นสุกนุ่มดีแล้วตักเนื้อขึ้นมาหันให้เป็นชิ้นเล็กๆพอคำ แล้วใส่หม้อเคียวต่อไปจนเนื้อเปื่อยนุ่น
3.น้ำชุบต้มเนื้อและกระดูกวัวที่ได้ให้เคี่ยวต่อไป จนได้น้ำชุบที่มีรสชาดกลมกล่อมถูกใจและทำเป็นน้ำก๋วยเตี๋ยว


เนื้อคั่วกลิ้ง ไก่คั่วกลิ้ง หมูคั่วกลิ้ง


                     เนื้อคั่วกลิ้ง ไก่คั่วกลิ้ง หมูคั่วกลิ้ง


การทำเนื้อคั่วกลิ้ง มีวิธีการทำไม่ยุ่งอยากอะไรมากคะ จะใช้ เนื้อ ไก่ หมูคั่วกลิ้ง ได้ทั้งนั้นจะทำกิน หรือ ทำขายเป็นอาชีพก็ได้
มาดูส่วนผสมกันเลย
เนื้อวัวบด (จะหั่นเล็กๆก็ได้)          200  กรัม
ใบมะกรูดชอย                            3      ชอนโต๊ะ
น้ำพริกแกงใต้ (ดูสูตร.. คลิก)        2      ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูดชอย                            1      ช้อนชา
น้ำปลา                                      1-2  ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                                   2     ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.โขลกน้ำพริกแกงกับผิวมะกรูดให้ละเอียด
2.ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน ใส่น้ำพริกแกงลงคั่วให้หอม ใส่เนื้อบด คั่วต่อจนสุกและแห้งพอดี
3.ปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่ใบมะกรูด ผัดให้ทั่วชิมรสอร่อยพอดี


เครื่องแกง


                  เครื่องแกงคั่วกลิ้ง สูตรทำน้ำพริกแกงใต้
สูตร 1
เครื่องแกง
พริกแห้งเม็ดใหญ่    5    เม็ด
กระเทียมชอย        1    ช้อนโต๊
หอมแดงชอย         3    หัว
ตะไคร้หั่นฝอย        3    ต้น
ขมิ้นสดหั่นชิ้นเล้ก    2    ช้อนชา
ลูกผักชีคั่วป่น         1/4 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่วป่น            1/4 ช้อนชา
กะปิ                     1     ช้อนชา


สุตร 2
เครื่องแกง
พริกขี้หนูแห้ง      40-50  เม็ด
พริกไทยดำเม็ด   2         ช้อนโต๊ะ
กระเทียม           2          หัว
หอมแดง            5          หัว
ตะไคร้หั่นฝอย     3          ต้น
ขมิ้นหั่น              1          ข้อมือ
ข่าหั่น                7           แว่น
ผิวมะกรูดซอย    1-2        ลูก
เกลือป่น            2           ช้อนชา
กะปิแกงอย่างดี   1           ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ น้ำพริก+เครื่องแกง
1. โขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ โขลกต่อให้ละเอียด
2. ใส่กระเทียม หอมแดง โขลกให้ละเอียด ใส่กะปิ โขลกให้เข้ากัน


ทำไข่เยียวม้าขาย สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ทำแล้วมีกำไร




 วิธีทำไข่เยี่ยวม้าขาย สูตรทำไข่เยียวม้า เคล็ดลับทำไข่เยี่ยวม้าขาย
                                     สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ทำแล้วมีกำไร
มีกำไร:ใครได้ยินแล้วก็ชอบทั้งนั้นละคะ เมื่อเรารู้ต้นทุนในการทำ เรารู้ราคาขาย แล้วต้องมีกำไรแน่นอน เงินลงทุน เป็นค่าอุปกรณ์ประมาณ 1,000 บาท ไข่เป็ดประมาณ 3 บาท/ฟอง (เงินลงทุนสำหรับไข่ และส่วนผสมต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับไข่ที่จะซื้อ)รายได้ประมาณ 4-5 บาท/ฟอง แหล่งจำหน่ายก็ตามตลาดสดทั่วไป หรือ ติดต่อขายส่งพ่อค้า-แม่ค้า หรือร้านขายอาหารตามสั้ง ชุปเปอร์มาร์เก็ต

อุปกรณ์
  • เตา หม้อต้มน้ำ ภาชนะพลาสติกแช่ไข่ ผ้าขาวบาง ไม้ไผ่สาน

ส่วนผสม
  • ไข่เป็ด 30 ฟอง
  • เกลือแกง 800 กรัม
  • ปูนขาว 750 กรัม
  • น้ำ 5 ลิตร
  • ใบชา(ดำ) 80 กรัม
  • โซดาแอช หรือโซเดียมคาร์บอเนต 300 กรัม
  • สังกะสีออกไซต์
วิธีทำ
  •  นำไข่มาล้างเปลือกให้สะอาด ตั้งทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ เรียงไข่ลงในภาชนะพลาสติกที่สะอาด ปลอดภัย
  • ต้มน้ำสะอาด เติมปูนขาว เกลือ โซดาแอช ใบชาดำ พอเดือด ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นแล้วกรองเอาเศษตะกอนออกทิ้งไป เติมสังกะสีออกไซด์ คนให้ทั่ว
  • เทส่วนผสม ตามข้อ 2 ลงในภาชนะที่ใส่ไข่ ใช้ไม้ไผ่สานขัดแตะปิดไว้เหนือไข่ เพื่อไม่ให้ไข่ลอย (ถ้าไข่ลอยจะเสีย) ปิดฝาภาชนะด้วยผ้าขาวบาง  แช่ทิ้งไว้ประมาณ 25 – 30 วัน
  • เอาไข่ขึ้นล้างน้ำสะอาด ทิ้งไว้ให้ผิวแห้ง แล้วเคลือบเปลือกไข่ด้วยดินขาวผสมกับแป้งเปียกในอัตราส่วน 5:1 เก็บไว้ 10 วัน จึงนำออกจำหน่ายหรือรับประทานได้

ข้อเสนอแนะ
1.    ต้องเลือกไข่เป็ดที่ใหม่ สด และไม่มีตำหนิมาทำ เพื่อจะได้ไข่เยี่ยวม้าที่มีคุณภาพดี ไม่เสีย
2.    ภาชนะที่ใช้แช่ไข่ อาจใช้ภาชนะเคลือบก็ได้ แต่ต้องสะอาดและปลอดภัย




วิธีทำไข่เค็มขาย สร้างรายได้ง่ายนิดเดียว


 สูตรทำไข่เค็มขาย วิธีทำไข่เค็มขาย สร้างรายได้ง่ายนิดเดียวกับไข่เค็ม

ไข่เค็มเป็นอาหารพื้นบ้านของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่นิยมในการบริโภคของคนไทย ในทุกๆภาค การผลิตไข่เค็มนั้นก็มีขั้นตอนที่ไม่ยากไม่ซับซ้อนในการทำ เพื่อนๆยากทำไว้กินเอง หรือ จะทำขายเป็นอาชีพก็ได้ ลงทุนน้อยใช้แรงงานคนเดียวได้ ตลาดก็ตามร้านอาหารตามสั่ง ตามข้าวต้มโต้รุ่ง ส่งตามชุบเปอร์มาเก็ตก็ได้จึงเหมาะที่จะทำเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพอิสระลงมือทำเลย

ส่วนประกอบและภาชนะ
ไข่เป็ด (ถ้าไม่มีใช้ไข่ไก่แทนได้)
เกลือป่น
น้ำเปล่า
สารส้ม (ถ้าไม่มีไม่ต้องใช้ก็ได้)
หม้อต้ม
ขวดมีฝาปิดสนิท

วิธีทำไข่เค็ม
1. ก่อนจะดองไข่ นำไข่ไปล้างให้สะอาดเอาสก๊อตไบร์สขัดไข่ให้ขาวพักไว้ให้แห้ง
2. ใช้เกลือ 1 ถ้วยต่อนำ้ 5 ถ้วย ถ้ามีไข่หลายฟองก็เพิ่มตามอัตราส่วนนี้
3. ต้มนำ้เกลือให้เดือดแล้วทิ้งไว้ให้นำ้เกลือเย็นจึงเอาไข่ลงไปดอง ประมาณ 20 วันถึง 1 เดือน
4. พอครบกำหนดเอาไข่ไปต้มใส่สารส้ม 1 ก้อน (ก้อนโตประมาณขนาดครึ่งฟองไข่) ต้มนานประมาณ 7- 10 นาทีไข่ก็สุก ไข่จะขึ้นนวลน่ารับประทาน

สูตรการทำขนมต้ม

                              สูตรการทำขนมต้ม
ส่วนผสม
แป้งข้าวเหนียวชนิดผง   3  ถ้วยตวง/น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง/ใบเตย  4 – 5  ใบ/มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น ๆ 3 ถ้วยตวงอัดแน่น เกลือป่น   1 ช้อนชา

ส่วนผสมไส้
มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น ๆ 3 ถ้วยตวงอัดแน่น
น้ำตาลปี๊บ 1 1 / 4 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1 / 4 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1. ตวงมะพร้าวทึนทึกขูด 3 ถ้วยตวงอัดแน่นใส่กะทะทองนวดกับน้ำตาลปี๊บ
และน้ำเปล่าให้เข้ากันยกตั้งไฟกลางกวนจนเกือบแห้งให้เหนียว ยกลงพักให้อุ่นพอปั้นเป็นก้อนกลม
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 / 2 นิ้วใช้เป็นไส้ขนม

2. เอามะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น ๆ 3 ถ้วยตวงอัดแน่นเคล้ากับเกลือป่น 1 ช้อนชาให้ทั่ว นำมะพร้าวลงนึ่ง 10นาทีีหลังน้ำเดือดแล้ว

3. ร่อนแป้ง 1 ครั้งแล้วตวงใส่อ่าง ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าลงนวดจนแป้งนุ่มมือแล้วปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้วแล้วแผ่แป้งออกเป็นแผ่นหยิบไส้ใส่แล้วรวบชายแป้งหุ้มไส้ให้มิด

4. นำใบเตยใส่ในหม้อน้ำ้เปล่าต้มให้เดือดจนหอมใบเตย ตักใบเตยออก ใส่ขนมที่หุ้มไส้แล้วลงต้มสักครู่ พอแป้งลอยตักขึ้นคลุกมะพร้าวทึนทึกในข้อที่ 2

นำมะพร้าวขูดมาคั่วกับน้ำตาลมะพร้าว คั่วไฟอ่อน ๆ จนหอม แล้วทำการเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนไส้เหนียว-หอมได้ที่ ยกลงพักไว้ให้เย็น จึงทำการปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่ถาดเตรียมไว้ และขูดมะพร้าวทึนทึกเป็นเส้นใส่ถาดเตรียมไว้ด้วย

จากนั้นนำแป้งที่เตรียมไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่าเหรียญบาท แล้วแผ่เป็นแผ่นบาง ใส่ไส้ที่เตรียมไว้ลงไป ห่อแป้งปิดไส้ให้เรียบร้อย แล้วนำขนมใส่ลงในน้ำเดือด เมื่อขนมสุกจะลอยขึ้นมา ใช้กระชอนตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำขนมลงคลุกในมะพร้าวที่ขูดเตรียมไว้ทันที เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยขั้นตอนง่ายๆทำขายได้มีกำไร

ทำเมี่ยงปลาเผาขาย สร้างรายได้



       วิธีทำเมี่ยงปลาเผาขาย สูตรนำจิ้มเมี่ยงปลาเผา สร้างรายได้
เมี่ยงปลาเผา : วิธีทำเมี่ยงปลาเผาขาย สร้างรายได้ ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่หน้าสนใจ แต่ลงทุนข้อนข้างสูงใช้เนื้อที่มากหน่อย มีแรงงาน 2 คนขึ้นไป การเลือกปลาเน้นคัดเลือกปลาดีมีคุณภาพ สะอาดเนื้อแน่น เครื่องย่างปลาเผาแบบหมุนอัตโนมัติ สำหรับกิจการร้านเมี่ยงปลาเผาขนาดย่างปลาได้ที่ละ 9 ตัว ราคาประมาณ 25,000 บาท จะเล็กหรือใหญ่กว่านี้ราคาก็จะแตกต่างไป ก็ให้ดูที่งบคะ

วิธีทำ

  • นำปลาทับทิม หรือ ปลานิล เลือกไซส์ใหญ่ นน.1 กก.ต่อตัว/เกลือไทย/ตะไคร้/ใบโหระพา
  • ทำความสะอาดปลา โดยผ่าท้องควักไส้ออก และล้างให้สะอาด แต่ไม่ต้องขอดเกล็ดออก
  • ทุบตะไคร้ให้แตก แล้วพันด้วยใบโหระพายัดเข้าไปในพุงปลาให้เต็ม
  • นำเกลือไทยโรยให้รอบตัวปลาพอประมาณ
  • นำเหล็กย่างปลาหรือไม้เสียบตัวปลา และย่างด้วยเตาถ่านจนสุก


 สูตรนำจิ้มเมี่ยงปลาเผา มีอยู่ 2 สูตรดังนี้

ส่วนผสมน้ำจิ้มชนิดเผ็ด : พริกขี้หนูสวน 1/2 กก./รากผักชี 2 ขีด/กระเทียมดอง 2 ขีด/กระเทียมแบบกลีบปอกเปลือก 1 ขีด/พริกไทยเม็ดขาว 1 ขีด/ น้ำปลา 1/2 ลิตร/น้ำมะนาว 1/2 ลิตร/น้ำตาล 3 ขีด... วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดรวมกันแล้วปั่นให้ละเอียด

ส่วนผสมน้ำจิ้มชนิดหวาน : น้ำมะขาม เปียก 1/2 กก./น้ำปลา 1/2 ลิตร/ถั่วลิสง 2 ขีด/น้ำตาลปี๊บ 3 ขีด...วิธีทำ เคี่ยวน้ำมะขามเปียกด้วยไฟอ่อนๆ เติมน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ลงผสม แล้วคนให้เข้ากัน ชิมให้ได้ รสเปรี้ยว เค็ม หวาน โรย หน้าด้วยถั่วลิสงตำหยาบๆ หรือจะใช้เป็นถั่วตัดก็จะได้รสชาติจัดจ้านขึ้น.

เครื่องเคียง: มีผักสด (ผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักชีไทย ผักชีฝรั่ง ผักใบเลื้อย สะระแหน่ ใบโหระพา)/ ขนมจีน/เส้นหมี่ขาว/แผ่นเมี่ยงญวน

         โดยเฉพาะปลาทับทิม ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ค่อนข้างเยอะมาก กรดไขมันตัวนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน และป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ แถมกระตุ้นการพัฒนาสมองในวัยเด็ก และยังเป็นปลาที่ไม่มีกลิ่นคาวและกลิ่นโคลน ให้เสียอารมณ์เวลารับประทานอีกด้วย



เปิดร้าน ลาบเป็ด รสแซบ


      เปิดร้าน ลาบเป็ดรสแซบ วิธีทำลาบเป็ดขาย สูตรเด็ดลาบเป็ด


อาชีพขายลาบเป็ด:เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้มองหา อาชีพเสริม งานเสริม หรือ อาชีพอิสระไม่ควรมองข้าม ลงทุนไม่มาก ลงทุนวันต่อวัน เงินลงทุนอยู่ที่ 600-700 บาทต่อวัน ขายได้1,100-1,200บาท ถ้าลูกค้าเยอะก็เพิ่มทุนอีก แหล่งชื้อวัถุดิบก็หาง่ายมีในท้องตลาดทั่วๆไป หรือ จะชื้อเป็ดบ้านมาทำเองราคาก็อยู่ที่กิโลละ 70 บาทหาชื้อง่าย ทำเลก็ ริมทาง ริมถนนหรือจะทำร้านหน้าตลาด ข้างตลาด ตามชุมชน ตามหมู่บ้านจัดสรร ทำเลก็หาง่ายคะจุดคุ้มทุน 2-3 เดือน ลงมือทำเลย

ส่วนประกอบ

เนื้อเป็ดสับ       1 ถ้วย

เครื่องในเป็ด     1 พวง

กระเทียม          20 กลีบ

หัวหอมแดง       20 หัว

ตะไคร้หั่น          2 ต้น

หัวข่า                3 แว่น

ข้าวคั่ว              1 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลาอย่างดี    1 ช้อนชา

เกลือ               1 ช้อนชา

น้ำมะนาว          2 ช้อนโต๊ะ

ใบสะระแหน่      1 ถ้วย

วิธีทำ

1. ตั้งกระทะ นำเอากระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ คั่วให้สุกหอม จากนั้นนำมาโขลกให้ละเอียด..พักไว้

2. นำเครื่องในเป็ดล้างให้สะอาดน้ำไปต้มให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ  พักไว้

3. นำเป็ดที่สับไว้ใส่หม้อตั้งไฟ รวนพอสุก ใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงเคล้าให้ทั่ว ยกลงใส่เครื่องในเป็ดปรุงรสด้วย  เกลือ น้ำปลา   น้ำมะนาว ข้าวคั่ว พริกป่น เคล้าให้ทั่วชิมรส  โรยด้วย พริกขี้หนูทอด ใบมะกรูดทอด ใบสะระแหน่เด็ดใบ ตามชอบ เป็นอันเรียบร้อย  ลาบจานเด็ด พร้อมทานคะ

ผักกินกับ
ใบมะกรูดทอด พริกขี้หนูทอด พอประมาณ กระเทียม พริกขี้หนูสด แตงสด ถั่วฝักยาว ตามชอบคะ

ขั้นตอนไม่ยุ่งยากเลยคะเพียงเราใส่ใจในการปรุงชิมรสให้อร่อยรสชาดถูกใจคนชื้อ ขายได้ กำไรงาม

ส้มตำพันล้าน


ส้มตำ:ได้ยินก็น้ำลายไหล ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ทำให้บางคนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีเงินชื้อบ้าน ชื้อรถ โดยเฉพาะคนทางภาคอิสาน(ฉันอีกคนค๊ะ) ชอบกินข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ก็ขอแนะนำส้มตำแบบต่างๆ ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักเพราะบางชนิดเพื่อนๆ อาจไม่เคยเห็นก็ได้ เริ่มเลยคะ...
1. ส้มตำไทย
  • คือ จะไม่ใส่ปูดองและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว แล้วยังใส่น้ำตาลปีบ รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางคนอาจ  ใส่ปูดองด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู

2. ส้มตำไข่เค็ม
  • คือ ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด
3. ส้มตำปลาร้า หรือตำลาว
  • คือ เขาจะใส่ตัวปลาร้าลงไปด้วย หรือถ้าบางคนก็อาจใส่แต่น้ำปลาร้าก็ได้ แต่ไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่กุ้งแห้ง และน้ำตาล รสชาติจะออก เค็ม, เผ็ด

4. ส้มตำปู
  • คือ เริ่มจากเครื่องปรุงที่หาได้ง้ายง่ายอันได้แก่ มะละกอสับ, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ, พริกขี้หนู, กระเทียม, น้ำมะนาว, น้ำมะขามเปียก, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, น้ำปลาร้าอย่างดีต้มสุก, ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
   
5. ตำซั่ว
  • คือ การเอาเส้นขนมจีนใส่ผสมกับเส้นมะละกอตำรวมกัน ใส่น้ำตาลเล็กน้อย บางคนก็ไม่ใส่น้ำตาลเลย นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน

6. ตำโคราช หรือ ตำผสม
  • คือ เขาจำตำผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้ง, ปลาร้า และน้ำตาล รสชาติจะออก เปรี้ยว หวาน และเค็มตาม

7. ตำป่า
  • คือ การเอาผักหลายชนิดใส่ลงไป เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ เป็นที่นิยมในภาคอีสาน

8. ตำทะเล
  • คือ ส้มตำไทยใส่ของทะเล เช่น ปลาหมึกลวก, กุ้งลวก, หอยแมลงภู่ลวก, หอยนางรมสด เป็นส้มตำชนิดใหม่ที่มีคนนิยมค่อนข้างมาก แต่ราคาก็แพงมากกว่า ส้มตำทั่วไป

9. ส้มตำปูม้า
  • คือ ส้มตำไทย แล้วคลุกเคล้ากับปูม้าสดสับครึ่งตัว ส้มตำชนิดนี้เป็นที่นิยมในเขตภาคตะวันออก เช่น ระยอง, ชลบุรี

10. ตำหอยดอง
  • คือ ตำเหมือนส้มตำไทย แต่ใส่หอยแมลงภู่ดอง หรือหอยแคลงดองลงไปก็ได้ อร่อยมากๆ ชอบๆ

11. ตำผลไม้
  •  ตือ ส้มตำไทย แต่ใส่ผลไม้ลงไป เช่น ฝรั่ง, สับปะรด, มะม่วงฟ้าลั่น, แอปเปิล เขียว แดง, องุ่น หรือผลไม้ตามฤดูกาล

วิธีทำ
 *เริ่มจากเครื่องปรุงที่หาได้ง้ายง่ายอันได้แก่ มะละกอสับ, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ, พริกขี้หนู, กระเทียม, น้ำมะนาว, น้ำ มะขามเปียก, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, น้ำปลาร้าอย่างดีต้มสุก, ปูเค็ม

*จากนั้นก็เริ่มลงมือปรุง ด้วยการโขลกพริก และกระ-เทียมพอแหลก ใส่ถั่วฝักยาวตามด้วยปูเค็มตําพอแตก  ใส่เส้นมะละกอสับ มะเขือเทศฝาน โขลกมะละกอซ้ำนิดหน่อย ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำปลาร้าต้มสุก แต่งรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำมะขามเปียกตามใจชอบคะ

หลายๆ แบบ หลายๆ สูตร ที่กล่าวมาก็นำไปทำเป็นอาชีพได้เลยคะ และยังมีอีกสารพัด ตำ ที่ไม่ได้กล่าวมา